ข้อตกลงการซื้อแบบกลุ่มคืออะไร?

การซื้อแบบกลุ่ม หรือที่รู้จักกันในชื่อ การซื้อแบบรวมกลุ่ม เป็นรูปแบบธุรกิจในอีคอมเมิร์ซที่ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันเพื่อรับส่วนลดสินค้าหรือบริการจำนวนมาก แนวคิดนี้ยึดหลักอำนาจซื้อแบบรวมกลุ่ม ซึ่งซัพพลายเออร์เสนอราคาที่ลดลงเพื่อแลกกับยอดขายที่รับประกัน

ภูมิหลัง:
แนวคิดการซื้อแบบกลุ่มไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีรากฐานมาจากแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจแบบดั้งเดิม เช่น สหกรณ์จัดซื้อ อย่างไรก็ตาม รูปแบบการซื้อแบบออนไลน์นี้ได้รับความนิยมในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ด้วยการเปิดตัวเว็บไซต์อย่าง Groupon ในปี 2008 แนวคิดนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การเกิดขึ้นของเว็บไซต์ลักษณะเดียวกันนี้จำนวนมากทั่วโลก

การซื้อแบบกลุ่มทำงานอย่างไร:

  1. ข้อเสนอ: ซัพพลายเออร์เสนอส่วนลดอย่างมากสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยปกติคือ 50% ขึ้นไป
  2. การเปิดใช้งาน: ข้อเสนอจะเปิดใช้งานเมื่อมีผู้ซื้อขั้นต่ำจำนวนหนึ่งตกลงที่จะซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  3. กำหนดเส้นตาย: ข้อเสนอมักจะมีกรอบเวลาจำกัด ซึ่งทำให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพรู้สึกเร่งด่วน
  4. การส่งเสริมการขาย: เว็บไซต์การซื้อแบบกลุ่มจะส่งเสริมข้อเสนอต่างๆ ผ่านทางอีเมล โซเชียลมีเดีย และช่องทางการตลาดอื่นๆ
  5. การซื้อ: หากจำนวนผู้ซื้อขั้นต่ำถึงภายในกำหนดเวลา ข้อเสนอจะเปิดใช้งานและคูปองจะออกให้กับผู้ซื้อ

ข้อดี:
การซื้อแบบกลุ่มมีประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ:

สำหรับผู้บริโภค:

  1. ส่วนลดที่สำคัญ: ผู้บริโภคสามารถรับผลิตภัณฑ์และบริการในราคาที่ลดลงมาก
  2. การค้นพบ: การเปิดรับธุรกิจและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่พวกเขาอาจไม่เคยค้นพบมาก่อน
  3. ความสะดวกสบาย: เข้าถึงข้อเสนอต่างๆ ได้อย่างง่ายดายบนแพลตฟอร์มเดียว

สำหรับธุรกิจ:

  1. การโฆษณา: การเปิดเผยต่อลูกค้าที่มีศักยภาพจำนวนมากด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ
  2. เพิ่มยอดขาย: มีศักยภาพในการเพิ่มปริมาณการขายได้มากในช่วงเวลาสั้นๆ
  3. ลูกค้าใหม่: โอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ที่อาจกลายมาเป็นลูกค้าประจำ

ความท้าทายและคำวิจารณ์:
แม้ว่าในช่วงแรกโมเดลการซื้อแบบกลุ่มจะได้รับความนิยม แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ความอิ่มตัวของตลาด: การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความอิ่มตัวในตลาดหลายแห่ง ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ยากที่จะโดดเด่นขึ้นมา
  2. คุณภาพการบริการ: บริษัทบางแห่งรู้สึกท่วมท้นกับปริมาณลูกค้าที่เสนอบริการ แต่กลับไม่สามารถรักษาคุณภาพการบริการเอาไว้ได้
  3. อัตรากำไรที่ลดลง: ส่วนลดจำนวนมากอาจส่งผลให้บริษัทที่เข้าร่วมมีอัตรากำไรที่ต่ำมากหรือติดลบได้
  4. ความภักดีของลูกค้า: ผู้บริโภคจำนวนมากสนใจเพียงส่วนลดเท่านั้น และไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ
  5. ความเหนื่อยล้าของผู้บริโภค: เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกเหนื่อยล้าจากปริมาณข้อเสนอในอีเมลของตน

วิวัฒนาการและแนวโน้มปัจจุบัน:
รูปแบบการซื้อแบบกลุ่มได้รับการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่จุดสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษปี 2010:

  1. มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเฉพาะ: ปัจจุบันแพลตฟอร์มการซื้อแบบกลุ่มหลายแห่งมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเฉพาะ เช่น การท่องเที่ยวหรือการทำอาหาร
  2. การบูรณาการกับโมเดลอื่นๆ: บริษัทบางแห่งได้บูรณาการองค์ประกอบของการซื้อแบบกลุ่มเข้ากับโมเดลธุรกิจที่มีอยู่ เช่น ตลาดซื้อขายและเว็บไซต์รับเงินคืน
  3. การปรับแต่ง: การใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อเสนอข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคมากขึ้น
  4. การซื้อแบบกลุ่มองค์กร: บริษัทบางแห่งใช้โมเดลนี้เพื่อรับส่วนลดในการซื้อจำนวนมากสำหรับพนักงานของตน
  5. การขายแบบแฟลช: ข้อเสนอในระยะสั้นพร้อมส่วนลดมากมาย แรงบันดาลใจจากโมเดลการซื้อแบบกลุ่ม

ข้อควรพิจารณาทางกฎหมายและจริยธรรม:
การซื้อแบบกลุ่มยังก่อให้เกิดคำถามทางกฎหมายและจริยธรรม รวมถึง:

  1. การโฆษณาที่หลอกลวง: ความกังวลเกี่ยวกับความจริงของส่วนลดที่โฆษณา
  2. การคุ้มครองผู้บริโภค: คำถามเกี่ยวกับการคืนเงินและการรับประกันสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่ซื้อผ่านการซื้อแบบกลุ่ม
  3. แรงกดดันต่อธุรกิจขนาดเล็ก: คำวิจารณ์ชี้ให้เห็นว่าโมเดลดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันมากเกินไปต่อธุรกิจขนาดเล็กในการเสนอส่วนลดที่ไม่ยั่งยืน

สรุป:
การซื้อแบบกลุ่มถือเป็นนวัตกรรมสำคัญในอีคอมเมิร์ซ นำเสนอวิธีการใหม่ในการเชื่อมโยงผู้บริโภคและธุรกิจ แม้ว่ารูปแบบนี้จะเผชิญกับความท้าทายและวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลักการพื้นฐานของอำนาจซื้อรวมและส่วนลดตามปริมาณยังคงมีความสำคัญในภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซปัจจุบัน ในขณะที่อีคอมเมิร์ซยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราน่าจะได้เห็นรูปแบบและการปรับตัวใหม่ๆ ของแนวคิดการซื้อแบบกลุ่ม ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับทั้งผู้บริโภคและธุรกิจอยู่เสมอ

ตลาดออนไลน์คืออะไร?

ตลาดออนไลน์คือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้สามารถทำธุรกรรมทางการค้าผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้ผู้ขายหรือบริษัทต่างๆ สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนให้กับลูกค้าเป้าหมายจำนวนมาก ตัวอย่างตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Amazon, eBay, Mercado Libre และ Airbnb

ประวัติศาสตร์:

ตลาดออนไลน์ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 พร้อมกับการถือกำเนิดของอีคอมเมิร์ซ หนึ่งในตัวอย่างแรกเริ่มและประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ eBay ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดยเริ่มต้นจากเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ที่ให้ผู้บริโภคนำสินค้ามาขายต่อกัน เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและความเชื่อมั่นในอีคอมเมิร์ซมีมากขึ้น ตลาดออนไลน์จึงเกิดขึ้นมากขึ้น ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วนและรูปแบบธุรกิจ

ประเภทของตลาดออนไลน์:

ตลาดออนไลน์มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน:

1. ตลาดแนวนอน: ตลาดประเภทนี้มีผลิตภัณฑ์หลากหลายจากหมวดหมู่ต่างๆ เช่น Amazon และ Mercado Libre

2. ตลาดแนวตั้ง: มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเฉพาะหรือภาคส่วน เช่น Etsy สำหรับผลิตภัณฑ์ทำมือและวินเทจ หรือ Zalando สำหรับแฟชั่น

3. ตลาดบริการ: เชื่อมโยงผู้ให้บริการกับลูกค้า เช่น Fiverr สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือ Uber สำหรับบริการขนส่ง

4. ตลาดแบบ P2P (เพียร์ทูเพียร์): ตลาดประเภทนี้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถขายผลิตภัณฑ์หรือบริการซึ่งกันและกันโดยตรง เช่น eBay หรือ Airbnb

ข้อดี:

ตลาดออนไลน์มีข้อดีหลายประการสำหรับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ:

1. ขยายขอบเขตการเข้าถึง: ผู้ขายสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นกว่าที่ร้านค้าจริงจะทำได้

2. ความสะดวกสบาย: ผู้ซื้อสามารถค้นหาและซื้อสินค้าหรือบริการได้อย่างง่ายดายทุกที่ทุกเวลา

3. ความหลากหลาย: ตลาดซื้อขายโดยทั่วไปจะเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ช่วยให้ผู้ซื้อค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างแท้จริง

4. ความน่าเชื่อถือ: แพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับนำเสนอระบบชื่อเสียงและการคุ้มครองผู้บริโภค ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรม

5. ลดต้นทุน: ผู้ขายสามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าเช่าพื้นที่และพนักงาน

ความท้าทาย:

แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ตลาดออนไลน์ยังมีข้อท้าทายบางประการด้วยเช่นกัน:

1. การแข่งขัน: เนื่องจากมีผู้จำหน่ายจำนวนมากที่เสนอผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะโดดเด่นและดึงดูดลูกค้า

2. ค่าธรรมเนียม: โดยทั่วไปแพลตฟอร์มจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการขาย ซึ่งสามารถลดอัตรากำไรของผู้ขายได้

3. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: ผู้ขายอาจพึ่งพาตลาดมากเกินไป จนจำกัดความสามารถในการสร้างแบรนด์ของตนเอง

4. ปัญหาคุณภาพ: การรับรองคุณภาพและความถูกต้องของผลิตภัณฑ์อาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีผู้ขายจำนวนมาก

อนาคตของตลาดออนไลน์:

ในขณะที่อีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลาดออนไลน์จึงคาดว่าจะแพร่หลายและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แนวโน้มบางประการที่คาดว่าจะกำหนดอนาคตของตลาดออนไลน์ ได้แก่:

1. การปรับแต่งส่วนบุคคล: การใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น

2. การบูรณาการ Omnichannel: การผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น

3. ตลาดเฉพาะทาง: การเกิดขึ้นของตลาดที่เน้นเฉพาะกลุ่มหรือชุมชนเฉพาะมากขึ้น

4. โลกาภิวัตน์: การขยายตลาดไปสู่ตลาดต่างประเทศใหม่ๆ เชื่อมโยงผู้ขายและผู้ซื้อทั่วโลก

บทสรุป:

ตลาดออนไลน์ได้ปฏิวัติวิธีการซื้อและขายสินค้าและบริการของเรา มอบความสะดวกสบาย ความหลากหลาย และการเข้าถึงที่เหนือชั้น ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลาดออนไลน์จึงคาดว่าจะยังคงมีบทบาทสำคัญในอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจโลกต่อไป แม้จะมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่อนาคตของตลาดออนไลน์ก็ยังคงสดใส ด้วยนวัตกรรมและโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีคอมเมิร์ซคืออะไร?

อีคอมเมิร์ซ หรือที่รู้จักกันในชื่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือการทำธุรกรรมทางการค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการซื้อขายสินค้า บริการ และข้อมูลออนไลน์ อีคอมเมิร์ซได้ปฏิวัติวิธีการดำเนินธุรกิจของธุรกิจต่างๆ และวิธีที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าและบริการ

ประวัติศาสตร์:

อีคอมเมิร์ซเริ่มได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1990 ด้วยการถือกำเนิดของเวิลด์ไวด์เว็บ ในช่วงแรกธุรกรรมออนไลน์ส่วนใหญ่จำกัดอยู่เพียงการขายหนังสือ ซีดี และซอฟต์แวร์ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่ออีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น บริษัทต่างๆ ก็เริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายทางออนไลน์มากขึ้น

ประเภทของอีคอมเมิร์ซ:

อีคอมเมิร์ซมีหลายประเภท ได้แก่:

1. ธุรกิจถึงผู้บริโภค (B2C): เกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภคปลายทาง

2. ธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B): เกิดขึ้นเมื่อบริษัทหนึ่งขายผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กับอีกบริษัทหนึ่ง

3. ผู้บริโภคถึงผู้บริโภค (C2C): ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถขายผลิตภัณฑ์หรือบริการซึ่งกันและกันโดยตรง โดยปกติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น eBay หรือ OLX

4. ผู้บริโภคต่อธุรกิจ (C2B): เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคที่เสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กับธุรกิจ เช่น ผู้ประกอบการอิสระที่เสนอบริการผ่านแพลตฟอร์มเช่น Fiverr หรือ 99Freelas

ข้อดี:

อีคอมเมิร์ซมีข้อดีหลายประการสำหรับธุรกิจและผู้บริโภค เช่น:

1. ความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงมีอินเทอร์เน็ต

2. ความหลากหลาย: โดยทั่วไปร้านค้าออนไลน์จะมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายกว่าร้านค้าจริงมาก

3. การเปรียบเทียบราคา: ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาจากซัพพลายเออร์ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดายเพื่อค้นหาข้อเสนอที่ดีที่สุด

4. ลดต้นทุน: บริษัทต่างๆ สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าเช่าพื้นที่และพนักงาน โดยการขายออนไลน์

5. การเข้าถึงทั่วโลก: อีคอมเมิร์ซช่วยให้บริษัทเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวางกว่าร้านค้าจริงมาก

ความท้าทาย:

แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่อีคอมเมิร์ซก็มีความท้าทายเช่นกัน ได้แก่:

1. ความปลอดภัย: การปกป้องข้อมูลทางการเงินและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคถือเป็นข้อกังวลอย่างต่อเนื่องในอีคอมเมิร์ซ

2. โลจิสติกส์: การทำให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ถูกส่งมอบอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ อาจเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็ก

3. การแข่งขันที่รุนแรง: เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากที่ขายสินค้าออนไลน์ การจะโดดเด่นและดึงดูดลูกค้าจึงเป็นเรื่องยาก

4. ปัญหาด้านความไว้วางใจ: ผู้บริโภคบางส่วนยังคงลังเลที่จะซื้อของออนไลน์เนื่องจากกังวลเรื่องการฉ้อโกงและไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อได้

อนาคตของอีคอมเมิร์ซ:

ในขณะที่เทคโนโลยียังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและผู้คนทั่วโลกเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น คาดว่าอีคอมเมิร์ซจะเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มที่คาดว่าจะกำหนดอนาคตของอีคอมเมิร์ซ ได้แก่:

1. การช้อปปิ้งผ่านมือถือ: ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในการช้อปปิ้งออนไลน์

2. การปรับแต่งส่วนบุคคล: บริษัทต่างๆ กำลังใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค

3. ความจริงเสริม: บริษัทบางแห่งกำลังทดลองใช้ความจริงเสริมเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถ "ลอง" ผลิตภัณฑ์เสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

4. การชำระเงินแบบดิจิทัล: เนื่องจากตัวเลือกการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และสกุลเงินดิจิทัลได้รับความนิยมมากขึ้น จึงควรผนวกรวมเข้ากับอีคอมเมิร์ซมากยิ่งขึ้น

บทสรุป:

อีคอมเมิร์ซได้เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินธุรกิจของเราไปอย่างสิ้นเชิง และยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว เมื่อธุรกิจและผู้บริโภคหันมาใช้อีคอมเมิร์ซมากขึ้น อีคอมเมิร์ซจึงกลายเป็นส่วนสำคัญยิ่งยวดของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่อนาคตของอีคอมเมิร์ซยังคงสดใส โดยมีเทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์

การวิจัยเผยให้เห็นการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายในร้านค้าปลีกของบราซิลและการเติบโตของแอพอีคอมเมิร์ซ

ผลสำรวจที่จัดทำโดยสถาบัน Locomotiva และ PwC เผยให้เห็นว่า 88% ของชาวบราซิลเคยใช้เทคโนโลยีหรือเทรนด์บางอย่างมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกแล้ว ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการซื้อของจากตลาดออนไลน์เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วน 66% ตามมาด้วยการรับสินค้าที่ร้านหลังจากซื้อสินค้าออนไลน์ (58%) และบริการลูกค้าออนไลน์อัตโนมัติ (46%)

งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเก้าในสิบคนให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าพึงพอใจ การจัดส่งที่สะดวกสบาย และโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน เรนาโต ไมเรลเลส ประธานสถาบันโลโคโมติวา เน้นย้ำว่าชาวบราซิลยังคงซื้อสินค้าในร้านค้าเป็นจำนวนมาก แม้ว่าพวกเขาจะชอบซื้อสินค้าบางรายการทางออนไลน์มากกว่าก็ตาม

แม้ว่าร้านค้าจริงจะยังคงเป็นประสบการณ์การช้อปปิ้งที่พบบ่อยที่สุด แต่ปัจจุบันสินค้าบางรายการส่วนใหญ่ซื้อทางออนไลน์ ซึ่งแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และหลักสูตรต่างๆ มีอัตราการนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซสูงกว่า ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ต วัสดุก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์สุขอนามัยและความงามยังคงนิยมซื้อในร้านค้าจริงมากกว่า

ในขณะเดียวกัน ตลาดแอปอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากรายงาน Mobile App Trends ประจำปีของ Adjust พบว่าจำนวนการติดตั้งแอปอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 43% และจำนวนเซสชันเพิ่มขึ้น 14% ในปี 2023 บรูโน บุลโซ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Kobe Apps กล่าวว่าการเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งบนมือถือ

ละตินอเมริกาโดดเด่นด้วยจำนวนเวลาเฉลี่ยต่อเซสชันที่เพิ่มขึ้นบนแอปอีคอมเมิร์ซ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มทั่วโลก นอกจากนี้ ตำแหน่งผู้นำของ Shein ในการจัดอันดับแอปที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดทั่วโลก ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นที่แบรนด์ต่างๆ จะต้องขยายช่องทางดิจิทัลให้ครอบคลุมแอปต่างๆ ด้วย

บราซิล ซึ่งติดอันดับประเทศที่ 4 ของโลกที่มียอดดาวน์โหลดแอปมากที่สุดในปี 2566 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของอุปกรณ์มือถือในชีวิตของผู้บริโภคชาวบราซิล ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าการเดินทางแบบ Omnichannel ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าจริงและแอปพลิเคชัน เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสินค้าและสร้างความภักดีของลูกค้า

ประเด็นสำคัญสำหรับการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขัน

อีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บราซิล (ABComm) ระบุว่ามีรายได้ 73.5 พันล้านเรียลบราซิลในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 

การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการที่ร้านค้าออนไลน์อนุญาตให้ขายสินค้าไปยังทุกภูมิภาคของบราซิล นอกเหนือจากการมอบของขวัญสุดพิเศษสำหรับสไตล์และโอกาสพิเศษต่างๆ แล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานของร้านค้าราบรื่นคือทีมงานที่มีส่วนร่วม

เพื่อให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซบรรลุศักยภาพสูงสุด จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งการผลิต สินค้าคงคลัง โลจิสติกส์ บริการลูกค้า และบริการหลังการขาย เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบวงจรให้กับลูกค้า ดังนั้น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงเติบโตได้โดยมี 3 เสาหลัก ได้แก่ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ สินค้าที่มีคุณภาพ และการบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ

การวางแผนประกอบด้วยการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจะจำหน่าย การถ่ายภาพที่สวยงาม และการสร้างสรรค์เนื้อหาและข้อความที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้บริโภค นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักพันธมิตร ตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าเน่าเสียง่าย ประเมินระบบโลจิสติกส์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าเป็นไปตามกำหนดเวลา และพิจารณารายละเอียดทั้งหมดที่อาจขัดขวางประสบการณ์ของลูกค้า

สินค้าคุณภาพคือหัวใจสำคัญในทุกร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์หรือร้านค้าจริง เมื่อซื้อเพื่อใช้งานส่วนตัวหรือเป็นของขวัญ จะต้องศึกษาข้อมูลรุ่น ขนาด และสี รวมถึงการลงทุนทั้งในด้านการเงินและอารมณ์ ด้วยวิธีนี้ ลูกค้าสามารถพิจารณาร้านค้าที่ซื้อ และกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้งในอนาคต

ในทางกลับกัน แนวทางการบริการลูกค้าที่แตกต่างสามารถช่วยให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีคอมเมิร์ซอีกครั้ง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับฟัง ความคิดเห็น ทั้งด้านบวกและด้านลบจากผู้บริโภค เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า

พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์กำลังได้รับความนิยมในประเทศ เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ สะดวกสบาย และบ่อยครั้งก็รวดเร็ว ขึ้นอยู่กับกระบวนการโลจิสติกส์ ปัจจุบัน การซื้อของออนไลน์ได้กลายเป็นเส้นทางที่ควรจะดำเนินไปควบคู่กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่ใจในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ดีที่สุด

ขยายออกไปนอกอีคอมเมิร์ซ: จะสร้างความแตกต่างให้กับกลยุทธ์สำหรับผู้ค้าปลีกได้อย่างไร

ด้วยความมุ่งมั่นและการวางแผน คุณสามารถเพิ่มผลกำไรได้แม้ในยามวิกฤต แม้จะมีสภาพการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในบราซิล ประกอบกับช่วงหลังการระบาดใหญ่ แต่ผู้ประกอบการชาวบราซิลก็ยังคงมีความยืดหยุ่น ข้อมูลจาก Business Map Bulletin ระบุว่า ในปี 2565 ประเทศได้ทำลายสถิติการเปิดธุรกิจใหม่ ซึ่งรวมถึงธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อย (MEI) ในช่วงสี่เดือนแรกของปี มีบริษัทใหม่เกิดขึ้นถึง 1.3 ล้านแห่ง

สำหรับผู้ที่ทำงานด้านอีคอมเมิร์ซ ยอดขายลดลงในปีนี้ สืบเนื่องจาก การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจ ในช่วงกักตัวทางสังคมและการปิดตัวของร้านค้าจริง งานวิจัยจากสมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งบราซิล (ABComm) ระบุว่ายอดขายออนไลน์เติบโต 5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่ายอดขายออนไลน์จะเติบโตมากกว่า 6%

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จำเป็นต้องลงทุนในกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจนอกเหนือจากการขายออนไลน์ พวกเขาจำเป็นต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นและตอบสนองความต้องการของพวกเขาผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม สิ่งสำคัญคือการขยายโอกาสทางธุรกิจโดยการผสานอีคอมเมิร์ซเข้ากับร้านค้าจริง คีออสก์ในห้างสรรพสินค้า และ ตลาด ออนไลน์

ร้านค้าที่ขายสินค้าด้วยตนเองเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ประเมินสินค้า ตรวจสอบวัสดุ และสัมผัสสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ การกระตุ้นประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การสัมผัส การดมกลิ่น การได้ยิน การมองเห็น และแม้กระทั่งรสชาติ สามารถสร้างความแตกต่างให้กับประสบการณ์การช้อปปิ้งได้อย่างมาก การติดต่อสื่อสารโดยตรงนั้นเป็นมิตรและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การพูดคุยกับพนักงานขายเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อกระบวนการซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ร้านค้าแบบมีหน้าร้านจึงมีข้อได้เปรียบนี้

เมื่อร้านค้าตั้งอยู่ริมถนน ก็สามารถมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์และลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ตู้คีออสก์ในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าก็ให้ประโยชน์และความสะดวกสบายเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้บริโภคสามารถดูแลเรื่องอื่นๆ ได้ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน

ตลาด ออนไลน์ ถือเป็นรูปแบบธุรกิจที่ปฏิวัติวงการค้าปลีกออนไลน์ เชื่อมโยงผู้ค้ากับลูกค้า จากผลสำรวจของ Ebit Nielsen พบว่าสภาพแวดล้อมการทำงานร่วมกันเหล่านี้คิดเป็น 78% ของอีคอมเมิร์ซในบราซิล นอกจากนี้ วิธีการขายแบบนี้ยังเป็นหนึ่งในวิธีที่ผู้บริโภคชื่นชอบอีกด้วย

จากผลการวิจัยของบริษัท Mirakl ของฝรั่งเศส พบว่า 86% ของชาวบราซิลระบุว่า ตลาดออนไลน์ เป็นวิธีการซื้อของออนไลน์ที่น่าพึงพอใจที่สุด นี่จึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งและก้าวข้ามอีคอมเมิร์ซแบบเดิม ด้วยการผสานรวมความเป็นไปได้ที่หลากหลายเข้ากับธุรกิจของพวกเขา

Tramontina เปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ B2B เพื่อขยายการเข้าถึงและอำนวยความสะดวกในการซื้อขายทางธุรกิจ

Tramontina บริษัทชื่อดังจากบราซิลที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องครัวและอุปกรณ์ต่างๆ ประกาศเปิดตัว แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สำหรับการขายแบบ B2B (ธุรกิจกับธุรกิจ) และสำหรับใช้ส่วนตัวและบริโภค นับเป็นการขยายธุรกิจสู่ระบบดิจิทัลครั้งสำคัญของแบรนด์ เสริมบริการตัวแทนขายแบบดั้งเดิม และนำเสนอช่องทางใหม่ในการติดต่อกับลูกค้าองค์กร

ช่องทางออนไลน์ใหม่นี้มีให้บริการที่ empresas.tramontina.com.br ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์อันหลากหลายของบริษัท ซึ่งมีมากกว่า 22,000 รายการ ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ของใช้ในครัวเรือน เครื่องมือ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ และยังให้บริการแก่ภาคธุรกิจบริการด้านการต้อนรับและการบริการอาหาร ซึ่งรวมถึงร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ และโรงแรม รวมถึงผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง และตัวแทนจำหน่าย

ประโยชน์หลักๆ ของแพลตฟอร์ม ได้แก่:

  1. การซื้อที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัว
  2. การจัดการคำสั่งซื้อแบบครบถ้วน รวมถึงคำสั่งซื้อที่ทำทางออนไลน์และผ่านตัวแทน
  3. การสนับสนุนเฉพาะที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย
  4. จัดส่งฟรีสำหรับคำสั่งซื้อที่ตรงตามยอดซื้อขั้นต่ำ

โครงการริเริ่มของ Tramontina นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำกระบวนการขายสู่ระบบดิจิทัล โดยมุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับแบรนด์และอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการธุรกิจของลูกค้าองค์กร บริษัทคาดหวังว่าช่องทางการขายแบบ B2B ใหม่นี้จะช่วยขยายการเข้าถึงตลาดและมอบประสบการณ์การซื้อที่มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าองค์กร

Anatel เปิดเผยรายชื่อเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่โฆษณาโทรศัพท์มือถือผิดกฎหมาย โดย Amazon และ Mercado Livre เป็นผู้นำในการจัดอันดับ

สำนักงานโทรคมนาคมแห่งชาติ (Anatel) เปิดเผยผลการตรวจสอบเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21) โดยมุ่งเน้นไปที่โฆษณาโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีใบรับรองอย่างเป็นทางการหรือโฆษณาที่เข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย การดำเนินการนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันใหม่ที่หน่วยงานประกาศใช้เพื่อปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์

รายงานระบุว่า Amazon และ Mercado Libre มีสถิติที่แย่ที่สุด โดย Amazon พบว่า 51.52% ของรายการสินค้าโทรศัพท์มือถือเป็นสินค้าที่ไม่ได้รับการรับรอง ขณะที่ Mercado Libre ตัวเลขนี้สูงถึง 42.86% ทั้งสองบริษัทถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด" และจะต้องลบรายการสินค้าที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดนี้ออก ซึ่งอาจรวมถึงโทษปรับและเว็บไซต์อาจถูกลบออกจากระบบ

บริษัทอื่นๆ เช่น Lojas Americanas (22.86%) และ Grupo Casas Bahia (7.79%) ถือว่า “ปฏิบัติตามข้อกำหนดบางส่วน” และจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเช่นกัน ในทางกลับกัน Magazine Luiza ไม่ได้แสดงบันทึกใดๆ เกี่ยวกับการโฆษณาที่ผิดกฎหมาย ซึ่งถูกจัดอยู่ในประเภท “ปฏิบัติตามข้อกำหนด” ส่วน Shopee และ Carrefour แม้จะไม่ได้เปิดเผยสัดส่วน แต่ก็ถูกจัดอยู่ในประเภท “ปฏิบัติตามข้อกำหนด” เนื่องจากได้ให้คำมั่นสัญญากับ Anatel ไปแล้ว

คาร์ลอส ไบกอร์รี ประธานบริษัท Anatel เน้นย้ำว่าการเจรจากับบริษัทอีคอมเมิร์ซดำเนินมาประมาณสี่ปีแล้ว โดยเขาวิพากษ์วิจารณ์ Amazon และ Mercado Livre เป็นพิเศษที่ไม่เข้าร่วมในกระบวนการทำงานร่วมกัน

การตรวจสอบเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1-7 มิถุนายน โดยใช้เครื่องสแกนที่มีความแม่นยำ 95% Anatel รายงานว่า หลังจากมุ่งเน้นไปที่โทรศัพท์มือถือแล้ว หน่วยงานจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จำหน่ายโดยผิดกฎหมายโดยไม่มีการรับรองมาตรฐาน

มาตรการป้องกันที่เผยแพร่ในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทต่างๆ มีโอกาสปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบอีกครั้ง โดยเริ่มจากโทรศัพท์มือถือ Anatel ย้ำว่าบริษัทอื่นๆ นอกเหนือจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ 7 รายที่กล่าวถึง ก็อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกันนี้เช่นกัน

นิตยสาร Luiza และ AliExpress ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในด้านอีคอมเมิร์ซ

นิตยสาร Luiza และ AliExpress ได้ลงนามข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ที่จะอนุญาตให้มีการขายสินค้าแบบไขว้ (cross-selling) บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตน ความร่วมมือนี้นับเป็นครั้งแรกที่ตลาดจีนจะนำสินค้าของตนไปจำหน่ายโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การค้าข้ามพรมแดนที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายความหลากหลายของแคตตาล็อกสินค้าของทั้งสองบริษัท โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละฝ่าย แม้ว่า AliExpress จะเป็นที่รู้จักในด้านสินค้าความงามและอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีที่หลากหลาย แต่ Magazine Luiza กลับมีบทบาทสำคัญในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและอิเล็กทรอนิกส์

ด้วยโครงการริเริ่มนี้ แพลตฟอร์มทั้งสองซึ่งมียอดผู้เข้าชมรวมกันมากกว่า 700 ล้านครั้งต่อเดือน และมีลูกค้าที่ใช้งานจริง 60 ล้านคน คาดว่าจะเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสองบริษัทยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีสำหรับผู้บริโภค และจะยังคงปฏิบัติตามแนวทางของโครงการ Remessa Conforme ต่อไป รวมถึงการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการซื้อที่มีมูลค่าต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ

การประกาศความร่วมมือดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดการเงิน ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Magazine Luiza เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาหุ้นดังกล่าวลดลงเกือบ 50% ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซของบราซิลและระดับนานาชาติ โดยมุ่งมั่นที่จะขยายตัวเลือกในการซื้อของผู้บริโภคและเสริมสร้างตำแหน่งทางการตลาดของทั้งสองบริษัท

การส่งมอบและราคา: สร้างความภักดีของลูกค้าในอีคอมเมิร์ซได้อย่างไร?

ฟิลิป คอตเลอร์ กล่าวไว้ในหนังสือ " การจัดการการตลาด " ของเขาว่า การได้ลูกค้าใหม่นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรักษาลูกค้าเดิมถึงห้าถึงเจ็ดเท่า ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับลูกค้าเก่า ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามทางการตลาดเพื่อแนะนำแบรนด์และสร้างความไว้วางใจ เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้รู้จักบริษัท บริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทอยู่แล้ว

ในสภาพแวดล้อมออนไลน์ งานนี้ต้องใช้กลยุทธ์มากขึ้นเนื่องจากขาด แบบพบหน้ากัน การสร้างความภักดีของลูกค้าในอีคอมเมิร์ซจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการเฉพาะเจาะจงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค เสริมสร้างความสัมพันธ์ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ

การสังเกตนี้อาจดูชัดเจน แต่การสร้างความภักดีของลูกค้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาพึงพอใจกับประสบการณ์ที่ได้รับ หากพวกเขาไม่พอใจเนื่องจากข้อผิดพลาดในกระบวนการชำระเงินหรือการจัดส่งล่าช้า พวกเขาอาจไม่กลับมาซื้อซ้ำและอาจถึงขั้นพูดถึงแบรนด์ในแง่ลบ

ในทางกลับกัน ความภักดีของลูกค้าก็เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเช่นกัน เมื่อพวกเขาค้นพบเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่น่าเชื่อถือ มีสินค้าคุณภาพ ราคายุติธรรม บริการลูกค้าที่ดี และการจัดส่งตรงเวลา พวกเขาจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและเริ่มมองว่าร้านค้านั้นเป็นมาตรฐาน สิ่งนี้สร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือว่าบริษัทให้บริการพวกเขาอย่างดีที่สุด

ในสถานการณ์นี้ มีสององค์ประกอบสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้า นั่นคือ การส่งมอบและราคา การทำความเข้าใจกลยุทธ์สำคัญบางประการเพื่อเสริมสร้างการดำเนินงานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมออนไลน์:

1) การลงทุนใน ระยะสุดท้าย 

ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดส่งถึงผู้บริโภคคือกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดี ยกตัวอย่างเช่น ในบริษัทที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ การสร้างความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นที่สามารถจัดการการจัดส่งได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ เคล็ดลับที่ดีคือการส่งเสริมการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนกับพนักงานขับรถขนส่งในภูมิภาค เพื่อให้สินค้ามาถึงในสภาพสมบูรณ์และสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้ยังช่วยลดต้นทุนและค่าจัดส่งสำหรับผู้บริโภค ซึ่งเป็นทางออกสำหรับหนึ่งในปัญหาหลักในตลาดการขายออนไลน์ในปัจจุบัน

2) บรรจุภัณฑ์

ช่วงเวลาสำคัญในการบรรจุสินค้า การดูแลการจัดส่งแต่ละครั้งให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คำนึงถึงความต้องการบรรจุภัณฑ์และลักษณะเฉพาะของสินค้าแต่ละชิ้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น การปรับแต่งการจัดส่งให้มีความเฉพาะตัวและใส่ใจในทุกรายละเอียด ล้วนสร้างความแตกต่างอย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการมอบการ์ดเขียนด้วยลายมือ การฉีดน้ำหอม หรือการส่งของขวัญ

3) ทุกช่องทาง

การมีเครื่องมือข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดในการมอบประสบการณ์นี้ให้กับผู้บริโภค ประโยชน์มีมากมาย ประการแรก การสื่อสาร แบบ Omnichannel เนื่องจากผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ การบริการลูกค้าจึงมีความเฉพาะตัวและแม่นยำยิ่งขึ้น

4) ตลาด

การเข้าสู่สภาพแวดล้อมของข้อเสนอที่หลากหลายยิ่งขึ้น ช่วยให้มีตัวเลือกการช้อปปิ้งที่หลากหลาย วิธีนี้ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค มอบทางเลือกสำหรับทุกรสนิยมและสไตล์ ปัจจุบัน เครื่องมือนี้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอีคอมเมิร์ซ จำเป็นต้องนำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย พร้อมโซลูชันที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการมุ่งเน้นไปที่ข้อเสนอที่หลากหลายและมีตัวเลือกราคาประหยัด

5) การรวม

สุดท้ายนี้ การพิจารณาแพลตฟอร์มแบบครอบคลุมจะช่วยให้เกิดบริการที่เป็นประชาธิปไตยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น การให้บริการสั่งซื้อทางโทรศัพท์หรือ WhatsApp รวมถึงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ถือเป็นทางเลือกที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

[elfsight_cookie_consent id="1"]