Livestream Shopping คืออะไร?

คำจำกัดความ: การช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีมเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตในอีคอมเมิร์ซที่ผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์เข้ากับการไลฟ์สตรีม ในรูปแบบนี้ ผู้ค้าปลีกหรืออินฟลูเอนเซอร์จะทำการถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์ ซึ่งมักจะผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์เฉพาะทาง เพื่อนำเสนอและสาธิตสินค้าให้ผู้ชมได้รับชม

คำอธิบาย: ระหว่างการถ่ายทอดสดการช้อปปิ้ง พิธีกรจะนำเสนอสินค้า พร้อมไฮไลต์คุณสมบัติ สิทธิประโยชน์ และข้อเสนอพิเศษ ผู้ชมสามารถโต้ตอบแบบเรียลไทม์ผ่านความคิดเห็นและคำถามต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจและมีส่วนร่วม นอกจากนี้ สินค้าที่นำเสนอมักจะพร้อมจำหน่ายทันที พร้อมลิงก์สำหรับชำระเงินโดยตรง

การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมมอบข้อดีมากมายสำหรับทั้งผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค สำหรับผู้ค้าปลีก กลยุทธ์นี้ช่วยให้พวกเขาสามารถ:

1. เพิ่มการมีส่วนร่วม: การสตรีมสดสร้างการเชื่อมต่อที่แท้จริงและเป็นส่วนตัวมากขึ้นกับลูกค้า เพิ่มการมีส่วนร่วมและความภักดีต่อแบรนด์

2. เพิ่มยอดขาย: ความสามารถในการซื้อสินค้าโดยตรงในระหว่างการถ่ายทอดสดสามารถส่งผลให้ยอดขายและการแปลงเพิ่มขึ้น

3. การจัดแสดงผลิตภัณฑ์: ผู้ค้าปลีกสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในรูปแบบที่มีรายละเอียดและโต้ตอบได้มากขึ้น โดยเน้นคุณสมบัติและคุณลักษณะเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์

สำหรับผู้บริโภค การช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีมมอบสิ่งต่อไปนี้:

1. ประสบการณ์ที่สมจริง: ผู้ชมสามารถเห็นผลิตภัณฑ์ในการใช้งานจริง ถามคำถามแบบเรียลไทม์ และรับคำตอบทันที สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น

2. เนื้อหาที่แท้จริง: การสตรีมสดมักดำเนินการโดยบุคคลจริงซึ่งเสนอความคิดเห็นและคำแนะนำที่แท้จริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

3. ความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคสามารถรับชมการออกอากาศและซื้อสินค้าจากทุกที่โดยใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ของตน

การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศต่างๆ เช่น จีน ซึ่งแพลตฟอร์มอย่าง Taobao Live และ WeChat ได้ช่วยกระตุ้นเทรนด์นี้ อย่างไรก็ตาม การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมก็กำลังได้รับความนิยมในตลาดอื่นๆ เช่นกัน โดยผู้ค้าปลีกและแบรนด์ต่างๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หันมาใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้าในรูปแบบใหม่ๆ

ตัวอย่างแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีม ได้แก่:

อเมซอน ไลฟ์

การช้อปปิ้งสดบน Facebook

การช้อปปิ้งสดบน Instagram

ร้านค้า TikTok

ช้อปปิ้งผ่าน Twitch

การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมถือเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติของอีคอมเมิร์ซ ที่ผสานความสะดวกสบายของการช้อปปิ้งออนไลน์เข้ากับการโต้ตอบและการมีส่วนร่วมของประสบการณ์แบบเรียลไทม์ เมื่อผู้ค้าปลีกจำนวนมากขึ้นนำกลยุทธ์นี้มาใช้ การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมจึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นในแวดวงอีคอมเมิร์ซ

BOPIS: กลยุทธ์ที่จะเปลี่ยนแปลงการค้าปลีก

ในโลกค้าปลีก การแสวงหาความสะดวกสบายและประสิทธิภาพเป็นแรงผลักดันให้เกิดการนำกลยุทธ์ใหม่ๆ มาใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือ BOPIS (ซื้อออนไลน์ รับสินค้าที่ร้าน) ซึ่งหมายถึงการซื้อออนไลน์และรับสินค้าที่ร้าน วิธีนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นโซลูชันที่มีประโยชน์สำหรับทั้งผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค

BOPIS คืออะไร?

BOPIS คือรูปแบบการจัดซื้อที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าได้ที่ร้านค้าที่ตนเลือก กลยุทธ์นี้ผสานความสะดวกสบายของการช้อปปิ้งออนไลน์เข้ากับความสะดวกในการรับสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสินค้า

สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ค้าปลีก

การนำ BOPIS มาใช้มีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ค้าปลีก:

1. เพิ่มยอดขาย: BOPIS กระตุ้นให้ลูกค้ามาเยี่ยมชมร้านค้าจริง ซึ่งอาจนำไปสู่การซื้อของตามอารมณ์เพิ่มเติม

2. ลดต้นทุนการจัดส่ง: ผู้ค้าปลีกสามารถประหยัดต้นทุนการจัดส่งและโลจิสติกส์ได้ โดยให้ลูกค้าสามารถรับสินค้าที่ร้านค้าได้

3. การจัดการสินค้าคงคลังที่ได้รับการปรับปรุง: BOPIS ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถใช้สินค้าคงคลังจากร้านค้าจริงเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งซื้อทางออนไลน์ได้

4. การเสริมสร้างแบรนด์: การเสนอ BOPIS แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้ค้าปลีกในการมอบความสะดวกสบายและความยืดหยุ่นให้แก่ลูกค้า ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์

ประโยชน์สำหรับผู้บริโภค

ผู้บริโภคยังได้รับประโยชน์จาก BOPIS ในหลาย ๆ วิธี:

1. ความสะดวกสบาย: ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าในร้านได้ในเวลาสะดวกที่สุด

2. ประหยัดเวลา: BOPIS ช่วยลดความจำเป็นในการรอการจัดส่ง ช่วยให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

3. ประหยัดค่าขนส่ง: ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมขนส่งโดยการไปรับสินค้าที่ร้าน

4. ความมั่นใจที่มากขึ้น: BOPIS มอบความอุ่นใจให้กับลูกค้าโดยรู้ว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจะมีจำหน่ายในร้าน ลดความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อของออนไลน์

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

แม้จะมีประโยชน์ แต่การนำ BOPIS มาใช้ยังมีความท้าทายบางประการที่ผู้ค้าปลีกควรพิจารณา:

1. การรวมระบบ: จำเป็นต้องรวมระบบอีคอมเมิร์ซเข้ากับการจัดการสินค้าคงคลังของร้านค้าจริงเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลความพร้อมจำหน่ายของผลิตภัณฑ์มีความถูกต้องแม่นยำ

2. การฝึกอบรมพนักงาน: พนักงานในร้านค้าจริงจะต้องได้รับการฝึกอบรมให้จัดการกับคำสั่งซื้อ BOPIS อย่างมีประสิทธิภาพและให้บริการลูกค้าที่มีคุณภาพ

3. พื้นที่เฉพาะ: ร้านค้าจริงจำเป็นต้องมีพื้นที่เฉพาะสำหรับจัดเก็บและจัดระเบียบคำสั่งซื้อ BOPIS เพื่อให้รับสินค้าได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก

BOPIS กลายเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังในวงการค้าปลีก มอบประโยชน์มหาศาลให้กับทั้งผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค การนำแนวทางนี้มาใช้จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเพิ่มยอดขาย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็จะได้รับความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา และมั่นใจในการซื้อมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือผู้ค้าปลีกต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำ BOPIS มาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี

การเติบโตของการขายทางโซเชียลผ่านตัวแทนขายรายบุคคล

ในยุคดิจิทัล โซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการขับเคลื่อนยอดขายและสร้างความผูกพันกับลูกค้า การขายผ่านโซเชียลมีเดีย หรือการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อระบุตัวตน เชื่อมต่อ และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเป้าหมาย ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มที่กำลังเติบโตในบริบทนี้คือบทบาทของตัวแทนขายรายบุคคล ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่บริษัทต่างๆ โต้ตอบกับลูกค้า

การเพิ่มขึ้นของตัวแทนขายรายบุคคล

ตัวแทนขายรายบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่ออินฟลูเอนเซอร์ด้านการขาย คือผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดียของตนเองเพื่อโปรโมตสินค้าและบริการ พวกเขาสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่ง สร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้ติดตาม และแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตนเองเป็นตัวแทน

พนักงานขายแต่ละคนเหล่านี้โดดเด่นด้วยความสามารถในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้บริโภค การแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัว เคล็ดลับ และข้อมูลเชิงลึก จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ จนกลายเป็นตัวแทนที่แท้จริงของแบรนด์ที่พวกเขาเป็นตัวแทน

ประโยชน์ของการขายทางโซเชียลผ่านตัวแทนรายบุคคล

การขายทางโซเชียลผ่านตัวแทนแต่ละรายมีประโยชน์มากมายสำหรับทั้งธุรกิจและผู้บริโภค:

1. การเข้าถึงที่กว้างขวางยิ่งขึ้น: ตัวแทนขายแต่ละรายจะมีเครือข่ายผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมของตนเอง ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นและหลากหลายมากขึ้น

2. ความน่าเชื่อถือและความจริงใจ: ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือคำแนะนำจากบุคคลจริงมากกว่าโฆษณาแบบดั้งเดิม ตัวแทนแต่ละคนสามารถแบ่งปันประสบการณ์จริงของตนเองเพื่อสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ

3. ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล: ตัวแทนขายแต่ละคนสามารถเสนอบริการส่วนบุคคล ตอบคำถาม ให้ข้อมูลเพิ่มเติม และช่วยเหลือลูกค้าตลอดกระบวนการซื้อของพวกเขา

4. เพิ่มยอดขาย: ตัวแทนแต่ละคนสามารถขับเคลื่อนยอดขายได้อย่างเป็นธรรมชาติและยั่งยืน โดยการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงและมอบคุณค่าให้กับผู้บริโภค

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

แม้จะมีประโยชน์ แต่การขายทางโซเชียลผ่านตัวแทนรายบุคคลก็ยังมีความท้าทายบางประการที่ควรพิจารณาด้วยเช่นกัน:

1. การจัดแนวแบรนด์: จำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวแทนขายแต่ละคนจะต้องจัดแนวให้สอดคล้องกับค่านิยม ข้อความ และแนวปฏิบัติของแบรนด์ที่พวกเขาเป็นตัวแทน เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สอดคล้องและความเสียหายต่อชื่อเสียง

2. การฝึกอบรมและการสนับสนุน: บริษัทควรจัดให้มีการฝึกอบรมที่เหมาะสมแก่ตัวแทนแต่ละคน เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพและจัดการกับสถานการณ์ที่ท้าทายได้

3. การวัดผลและการติดตาม: การกำหนดการวัดผลที่ชัดเจนเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของตัวแทนแต่ละคนและติดตามกิจกรรมของพวกเขาบนโซเชียลมีเดียเป็นประจำถือเป็นสิ่งสำคัญ

การขายผ่านโซเชียลมีเดียผ่านตัวแทนขายรายบุคคลกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่บริษัทต่างๆ เชื่อมต่อกับลูกค้า ด้วยการใช้ประโยชน์จากพลังของโซเชียลมีเดียและความจริงใจของตัวแทนขายรายบุคคล แบรนด์ต่างๆ สามารถขยายการเข้าถึง สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และกระตุ้นยอดขายได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องรับมือกับความท้าทายและพิจารณาการนำกลยุทธ์นี้ไปใช้อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์เชิงบวกจะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัท

การเติบโตของ M-Commerce ในตลาดเกิดใหม่: การปฏิวัติวงการค้าปลีก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอ็มคอมเมิร์ซ (โมบายล์คอมเมิร์ซ) เติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ด้วยจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของเครือข่ายมือถือ ทำให้ผู้บริโภคหลายพันล้านคนในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงการช้อปปิ้งออนไลน์ได้สะดวก บทความนี้จะสำรวจสาเหตุของปรากฏการณ์นี้และผลกระทบเชิงปฏิรูปที่มีต่อภูมิทัศน์การค้าปลีกในตลาดเหล่านี้

การเพิ่มขึ้นของสมาร์ทโฟน:

หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของ m-commerce ในตลาดเกิดใหม่คือการใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในหลายประเทศเหล่านี้ อุปกรณ์พกพาได้กลายเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แซงหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแล็ปท็อป เมื่อราคาสมาร์ทโฟนลดลงและฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงใช้ประโยชน์จากความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านอุปกรณ์พกพา

การก้าวกระโดดสำหรับมือถือ:

ตลาดเกิดใหม่หลายแห่งกำลังก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี ข้ามขั้นตอนการพัฒนาและนำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้โดยตรง ซึ่งหมายความว่า แทนที่จะเดินตามเส้นทางเดิมๆ จากการค้าปลีกแบบเดิม ไปสู่อีคอมเมิร์ซบนเดสก์ท็อป และต่อด้วยมือถือ ผู้บริโภคจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าสู่ m-commerce โดยตรง ซึ่งเป็นประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกของพวกเขา

นวัตกรรมการชำระเงินผ่านมือถือ:

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเติบโตของ m-commerce ในตลาดเกิดใหม่คือนวัตกรรมระบบการชำระเงินผ่านมือถือ ในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารแบบดั้งเดิมได้ โซลูชันการเงินบนมือถือและกระเป๋าเงินดิจิทัลกำลังเข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภคทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร

พลังของเครือข่ายสังคม:

โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน m-commerce ในตลาดเกิดใหม่ แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กในการเข้าถึงลูกค้าและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม โซเชียลคอมเมิร์ซที่ผู้บริโภคค้นพบและซื้อสินค้าโดยตรงผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดเหล่านี้ โดยอาศัยความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมที่สร้างขึ้นภายในชุมชนออนไลน์

การปรับตัวให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น:

เพื่อความสำเร็จในการทำตลาด m-commerce ในตลาดเกิดใหม่ บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ ซึ่งรวมถึงการนำเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่เหมาะสม การปรับปรุงเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้เหมาะกับอุปกรณ์มือถือที่แพร่หลาย และการปรับแต่งการเลือกผลิตภัณฑ์และข้อความทางการตลาดให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น การทำความเข้าใจความแตกต่างของแต่ละตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความไว้วางใจและความภักดีต่อผู้บริโภค

ความท้าทายและโอกาส:

แม้จะมีศักยภาพมหาศาล แต่ m-commerce ในตลาดเกิดใหม่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน ปัญหาต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่จำกัด ความกังวลด้านความปลอดภัย และความซับซ้อนของระบบโลจิสติกส์ในการจัดส่ง อาจเป็นอุปสรรค อย่างไรก็ตาม ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ บริษัทต่างๆ จะสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้และคว้าโอกาสอันมหาศาลจากตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเหล่านี้ได้

การค้าผ่านมือถือ (m-commerce) กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์การค้าปลีกในตลาดเกิดใหม่ มอบการเข้าถึง ความสะดวกสบาย และโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้บริโภคหลายล้านคน ในขณะที่เทคโนโลยีมือถือยังคงพัฒนาและเจาะตลาดเหล่านี้มากขึ้น ศักยภาพในการเติบโตของ m-commerce จึงเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง สำหรับบริษัทที่ยินดีลงทุนเพื่อทำความเข้าใจความต้องการและความชอบเฉพาะตัวของผู้บริโภคเหล่านี้ m-commerce ในตลาดเกิดใหม่จึงเป็นเสมือนพรมแดนที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้

ประธานาธิบดีลูลา ลงนามกฎหมายเก็บภาษีการซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าเกิน 50 เหรียญสหรัฐ

ประธานาธิบดีลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา (PT) ได้อนุมัติกฎหมายที่กำหนดให้จัดเก็บภาษีสินค้าที่ซื้อจากต่างประเทศที่มีมูลค่าเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (27) มาตรการนี้ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ภาษีเสื้อ” เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ก่อตั้งโครงการ Mover ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคยานยนต์

รัฐบาลระบุว่าจะมีการออกมาตรการชั่วคราวเพื่อควบคุมภาษีใหม่ กฎหมายนี้จะยุติการยกเว้นภาษีที่เคยเป็นประโยชน์ต่อบริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ เช่น Shopee, Shein และ Amazon

ตามกฎหมายใหม่ สินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐ จะถูกเก็บภาษี 20% ของราคาซื้อ สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐ ภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ 60% อย่างไรก็ตาม จะได้รับส่วนลดภาษีสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าระหว่าง 50 ถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากการเก็บภาษีการซื้อจากต่างประเทศแล้ว กฎหมายที่ประธานาธิบดีลูลาลงนามยังสร้างโครงการ Mover ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการลดคาร์บอนในภาคยานยนต์ เนื้อหาในกฎหมายฉบับนี้เพิ่มข้อกำหนดด้านความยั่งยืนสำหรับยานยนต์ และกระตุ้นการผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ในพื้นที่

บริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วมโปรแกรม Mover จะสามารถได้รับประโยชน์จากเครดิตทางการเงินหากลงทุนในการวิจัย พัฒนา และการผลิตทางเทคโนโลยีในบราซิล

การบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่นี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์ของอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมยานยนต์ของบราซิล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและบริษัทในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ

Uni E-commerce Week 2024: งาน E-commerce ประกาศจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3

Marketplaces University บริษัทที่ปรึกษาด้านตลาดออนไลน์ ประกาศเปิดตัว Uni E-commerce Week ซึ่งเป็นหนึ่งในงานอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในบราซิล งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 17, 18 และ 19 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์จัดงาน Shopping Frei Caneca ในเมืองเซาเปาโล

จากความสำเร็จของงาน 2 ครั้งก่อนหน้า ซึ่งรวบรวมผู้ค้าปลีกกว่า 3,000 รายเข้าด้วยกันในระบบนิเวศการขายออนไลน์อย่างครบวงจร Alexandre Nogueira ผู้ก่อตั้ง Universidade Marketplaces สัญญาว่าจะจัดงานที่ยิ่งใหญ่และสร้างผลกระทบมากขึ้นในปีนี้

งานนี้จัดขึ้นแบบพบปะกัน 100% เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้พบปะพูดคุยกับตัวแทนจากตลาดที่ใหญ่ที่สุดในบราซิลโดยตรง แพลตฟอร์มเหล่านี้จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานของพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ทีมงาน Marketplaces University จะพร้อมสอนกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้ว ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มยอดขายของผู้เข้าร่วมแบบก้าวกระโดด วิธีการเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจแล้ว แม้กระทั่งเพิ่มรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซหลายรายการเป็นสามเท่า

“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอ Uni E-commerce Week อีกครั้ง” อเล็กซานเดอร์ โนเกรา กล่าว “งานนี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซที่จะได้เรียนรู้ เชื่อมต่อ และเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ”

Uni E-commerce Week 2024 สัญญาว่าจะเป็นกิจกรรมสำคัญในปฏิทินอีคอมเมิร์ซของบราซิล โดยมอบการเรียนรู้แบบเข้มข้น การสร้างเครือข่าย และโอกาสทางธุรกิจเป็นเวลา 3 วันสำหรับผู้เข้าร่วมทุกคน

ขณะนี้การลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้เปิดรับลงทะเบียนแล้ว และผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ Uni E-commerce Week อย่างเป็นทางการ

การเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซ: การบรรจบกันของโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซ

โซเชียลคอมเมิร์ซ หรือที่รู้จักกันในชื่อโซเชียลคอมเมิร์ซ กำลังพลิกโฉมวิธีที่ผู้บริโภคค้นพบ โต้ตอบ และซื้อสินค้าออนไลน์ ด้วยการผสานรวมฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซเข้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โซเชียลคอมเมิร์ซจึงสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น ผสานรวมการค้นพบสินค้า การมีส่วนร่วมทางสังคม และการทำธุรกรรมที่ราบรื่น บทความนี้จะสำรวจการเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซ ประโยชน์ต่อธุรกิจและผู้บริโภค และผลกระทบที่มีต่ออนาคตของการค้าปลีกออนไลน์

Social Commerce คืออะไร?

โซเชียลคอมเมิร์ซ หมายถึงการผสานรวมฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซเข้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหา ให้คะแนน และซื้อสินค้าได้โดยตรงจากฟีดโซเชียล ด้วยการใช้ประโยชน์จากพลังของคำแนะนำบนโซเชียล รีวิวจากผู้ใช้ และคอนเทนต์ที่ผู้ใช้สร้างขึ้น โซเชียลคอมเมิร์ซจึงสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลและน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง

แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ

1. Facebook: Facebook Shops ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างหน้าร้านออนไลน์ที่สมจริงได้โดยตรงบนเพจ Facebook และ Instagram ของตนเอง ช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบและซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย

2. Instagram: ด้วยฟีเจอร์อย่าง Instagram Shopping และ Reels Shopping ผู้ใช้สามารถค้นพบและซื้อผลิตภัณฑ์ได้โดยตรงจากโพสต์ เรื่องราว และวิดีโอสั้น ๆ

3. Pinterest: การปักหมุดผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบและซื้อสินค้าได้โดยตรงจากบอร์ด Pinterest โดยมีลิงก์โดยตรงไปยังหน้าผลิตภัณฑ์ของผู้ค้าปลีก

4. TikTok: TikTok กำลังขยายขีดความสามารถของการพาณิชย์โซเชียล ช่วยให้ผู้สร้างสามารถแท็กผลิตภัณฑ์ในวิดีโอและเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ของผู้ค้าปลีกได้

สิทธิประโยชน์สำหรับบริษัท

1. การเข้าถึงและการมองเห็นที่มากขึ้น: การพาณิชย์ทางโซเชียลช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้จำนวนมหาศาลของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

2. เพิ่มอัตราการแปลง: การทำให้กระบวนการจัดซื้อราบรื่นและสะดวกสบายนั้น โซเชียลคอมเมิร์ซสามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้อย่างมาก

3. การมีส่วนร่วมของลูกค้า: การพาณิชย์โซเชียลส่งเสริมการโต้ตอบที่แท้จริงระหว่างธุรกิจและลูกค้า ส่งผลให้มีส่วนร่วมและความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น

4. ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า: แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซให้ข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายให้เหมาะสมที่สุดได้

ประโยชน์สำหรับผู้บริโภค

1. การค้นพบผลิตภัณฑ์: การพาณิชย์ทางโซเชียลช่วยให้ผู้บริโภคค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านคำแนะนำจากเพื่อน ผู้มีอิทธิพล และชุมชน

2. ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น: ด้วยความสามารถในการซื้อผลิตภัณฑ์โดยตรงจากฟีดโซเชียล ผู้บริโภคจึงเพลิดเพลินกับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นและสะดวกสบาย

3. บทวิจารณ์และคำแนะนำที่เชื่อถือได้: การพาณิชย์ทางโซเชียลใช้ประโยชน์จากพลังของบทวิจารณ์และคำแนะนำทางโซเชียลจากผู้รู้จัก ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ

4. การโต้ตอบและการมีส่วนร่วม: การพาณิชย์โซเชียลช่วยให้ผู้บริโภคโต้ตอบกับแบรนด์ ผู้มีอิทธิพล และผู้ซื้อรายอื่นๆ ทำให้เกิดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เชื่อมต่อทางสังคม

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

1. การบูรณาการทางเทคโนโลยี: การบูรณาการฟีเจอร์โซเชียลคอมเมิร์ซเข้ากับอีคอมเมิร์ซที่มีอยู่และระบบจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างราบรื่นอาจเป็นเรื่องท้าทาย

2. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล: ด้วยการเพิ่มขึ้นของการแบ่งปันข้อมูลบนแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ การรับรองความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

3. การจัดการคำสั่งซื้อและโลจิสติกส์: การปฏิบัติตามและการจัดส่งคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยระบบและกระบวนการที่แข็งแกร่ง

4. การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI): การกำหนดคุณลักษณะและการวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของโครงการโซเชียลคอมเมิร์ซอย่างแม่นยำอาจมีความซับซ้อนเนื่องจากต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าหลายรายในแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน

การเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซกำลังนิยามความเชื่อมโยงระหว่างโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซใหม่ ก่อให้เกิดยุคใหม่ของประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เชื่อมโยงถึงกันทางสังคม ด้วยการใช้ประโยชน์จากพลังของคำแนะนำบนโซเชียลมีเดีย การโต้ตอบที่จริงใจ และการค้นพบสินค้า โซเชียลคอมเมิร์ซจึงมอบโอกาสสำคัญให้กับธุรกิจต่างๆ ในการเพิ่มการเข้าถึง กระตุ้นยอดขาย และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า ในขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นยิ่งขึ้น โซเชียลคอมเมิร์ซจึงพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นพลังสำคัญในแวดวงการค้าปลีกออนไลน์

Target ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Shopify เพื่อขยายตลาดของตน

Target Corporation หนึ่งในเครือข่ายร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Shopify Inc. เพื่อขยายตลาดออนไลน์ Target Plus อย่างมีนัยสำคัญ ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ผู้ค้าบนแพลตฟอร์ม Shopify สามารถขายสินค้าของตนได้โดยตรงบนตลาด Target ซึ่งจะช่วยขยายขอบเขตสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้อย่างกว้างขวาง

แผนริเริ่มนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Target มุ่งมั่นแข่งขันโดยตรงกับยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart และ Amazon ซึ่งครองตลาดอีคอมเมิร์ซในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Shopify ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก ทำงานร่วมกับผู้ค้าหลายล้านรายในกว่า 175 ประเทศ

Target Plus ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ได้นำแนวทางการเลือกสรรสินค้าที่พิถีพิถันมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจาก Amazon ที่มีสินค้าให้เลือกมากมาย ปัจจุบัน ตลาดออนไลน์แห่งนี้มีผู้ขายมากกว่า 1,200 ราย และมีสินค้าให้เลือกซื้อมากกว่า 2 ล้านรายการ

ด้วยความร่วมมือนี้ Target หวังที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของตนในตลาดค้าปลีกดิจิทัล โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายผู้ค้าทั่วโลกที่กว้างขวางของ Shopify เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีคุณภาพสูงและได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า

นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด เช่น ความต้องการผลิตภัณฑ์ยอดนิยมในโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของ Target ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของตลาดในภูมิทัศน์ของอีคอมเมิร์ซ และความจำเป็นที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่จะต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

การนำ Chatbots มาใช้ในการขายและการสนับสนุนหลังการขายในอีคอมเมิร์ซ: การปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอีคอมเมิร์ซ การให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยมจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของผู้ค้าปลีกออนไลน์ ในสถานการณ์เช่นนี้ แชทบอทจึงกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยยกระดับยอดขายและบริการหลังการขาย บทความนี้จะสำรวจการนำแชทบอทมาใช้ในอีคอมเมิร์ซ ประโยชน์ที่ธุรกิจและลูกค้าจะได้รับ รวมถึงวิธีที่แชทบอทเหล่านี้ช่วยพลิกโฉมประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์

Chatbots คืออะไร?

แชทบอทคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อจำลองการสนทนาของมนุษย์ผ่านข้อความหรือเสียง แชทบอทสามารถเข้าใจคำถามของผู้ใช้และให้คำตอบที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ได้ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ ในบริบทของอีคอมเมิร์ซ แชทบอทสามารถผสานรวมเข้ากับเว็บไซต์ แอปพลิเคชันมือถือ และแพลตฟอร์มการส่งข้อความ เพื่อโต้ตอบกับลูกค้าในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการซื้อ

แชทบอทสำหรับการขาย

1. คำแนะนำส่วนบุคคล: Chatbots สามารถวิเคราะห์ประวัติการค้นหาและการซื้อของลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล เพิ่มโอกาสในการแปลง

2. ความช่วยเหลือในการเลือกผลิตภัณฑ์: แชทบอทสามารถช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้นโดยการตอบคำถามและให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์โดยละเอียด

3. โปรโมชั่นและส่วนลด: แชทบอทสามารถแจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับโปรโมชั่นพิเศษ ส่วนลด และข้อเสนอส่วนบุคคล เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาซื้อสินค้า

4. ลดการละทิ้งตะกร้าสินค้า: โดยการโต้ตอบกับลูกค้าที่ละทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้าสินค้าโดยตรง แชทบอทสามารถเสนอการสนับสนุน ตอบคำถาม และสนับสนุนให้ซื้อสินค้าจนเสร็จสมบูรณ์

แชทบอทสำหรับการสนับสนุนหลังการขาย

1. บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน: Chatbots สามารถให้การสนับสนุนลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับความช่วยเหลือทันทีไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม

2. คำตอบที่รวดเร็วสำหรับคำถามที่พบบ่อย: เมื่อต้องจัดการกับคำถามทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อ การจัดส่ง และการคืนสินค้า แชทบอทสามารถให้คำตอบที่รวดเร็วและแม่นยำ ช่วยลดเวลาการรอของลูกค้า

3. การติดตามคำสั่งซื้อ: Chatbots สามารถให้ข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสถานะคำสั่งซื้อ ข้อมูลการติดตาม และระยะเวลาจัดส่งโดยประมาณ

4. การจัดการการคืนสินค้าและการแลกเปลี่ยน: แชทบอทสามารถแนะนำลูกค้าตลอดกระบวนการคืนสินค้าหรือการแลกเปลี่ยน โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย ขั้นตอนที่จำเป็น และกำหนดเวลา

ประโยชน์สำหรับบริษัทอีคอมเมิร์ซ

1. ลดต้นทุน: การทำให้การขายและงานสนับสนุนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นระบบอัตโนมัติ ช่วยให้แชทบอทสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมาก

2. เพิ่มประสิทธิภาพ: Chatbots สามารถจัดการกับคำถามหลายข้อพร้อมกันได้ ช่วยให้ทีมขายและทีมสนับสนุนสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่ซับซ้อนมากขึ้นได้

3. เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า: การให้การตอบกลับอย่างรวดเร็วและการสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันทำให้แชทบอทสามารถปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าโดยรวมและความภักดีต่อแบรนด์ได้

4. ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า: การโต้ตอบผ่าน Chatbot สามารถสร้างข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า ช่วยให้บริษัทต่างๆ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการของตนได้อย่างต่อเนื่อง

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

1. การใช้งานและการรวมระบบ: การใช้งานแชทบอทอาจต้องใช้ทรัพยากรทางเทคนิคและการผสานรวมกับระบบอีคอมเมิร์ซและการบริการลูกค้าที่มีอยู่

2. การฝึกอบรมและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: Chatbots ต้องมีการฝึกอบรมและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับคำถามที่ซับซ้อนและปรับปรุงความแม่นยำของการตอบกลับ

3. ความสมดุลระหว่างระบบอัตโนมัติและการสัมผัสของมนุษย์: การค้นหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างระบบอัตโนมัติของแชทบอทและการโต้ตอบของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ

4. ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย: บริษัทต่างๆ จะต้องมั่นใจว่าแชทบอทจัดการข้อมูลลูกค้าด้วยความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในระดับสูงสุด

การนำแชทบอทมาใช้ในการขายและบริการหลังการขายในอีคอมเมิร์ซกำลังปฏิวัติวิธีที่บริษัทต่างๆ โต้ตอบกับลูกค้า ด้วยการให้ความช่วยเหลือทันที คำแนะนำเฉพาะบุคคล และการสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง แชทบอทสามารถยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพิ่มยอดขาย และลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เทคโนโลยีแชทบอทยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ค้าปลีกออนไลน์ที่ต้องการสร้างความโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น

การค้าวิดีโอและการช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสด: ยุคใหม่ของการช้อปปิ้งออนไลน์

อีคอมเมิร์ซกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยการเติบโตของการค้าผ่านวิดีโอและการช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีม เทรนด์นวัตกรรมเหล่านี้กำลังปฏิวัติวิธีที่ผู้บริโภคค้นพบ โต้ตอบ และซื้อสินค้าออนไลน์ บทความนี้จะสำรวจการเติบโตของการค้าผ่านวิดีโอและการช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีม ประโยชน์ที่ผู้ค้าปลีกและลูกค้าจะได้รับ รวมถึงแนวโน้มเหล่านี้ส่งผลต่ออนาคตของอีคอมเมิร์ซอย่างไร

Video Commerce คืออะไร?

วิดีโอคอมเมิร์ซคือการผสานรวมวิดีโอเข้ากับกระบวนการช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งรวมถึงวิดีโอสาธิตสินค้า รีวิว บทช่วยสอน และเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น วิดีโอคอมเมิร์ซช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น และเพิ่มความมั่นใจในการช้อปปิ้งออนไลน์ ด้วยการให้ข้อมูลภาพที่น่าสนใจเกี่ยวกับสินค้า

การเพิ่มขึ้นของการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีม

การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมเป็นส่วนขยายของวิดีโอคอมเมิร์ซ ซึ่งแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์จะจัดการช้อปปิ้งสด ซึ่งโดยปกติจะบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ในระหว่างการถ่ายทอดสด พิธีกรจะนำเสนอสินค้า ตอบคำถาม และนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษ ผู้ชมสามารถซื้อสินค้าที่นำเสนอได้โดยตรงจากสตรีม สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบอินเทอร์แอคทีฟและทันที

สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ค้าปลีก

1. เพิ่มอัตราการแปลง: การค้าผ่านวิดีโอและการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีมสามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้อย่างมาก เนื่องจากลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ละเอียดและน่าสนใจมากขึ้น

2. การมีส่วนร่วมของแบรนด์: การสตรีมสดช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถโต้ตอบกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเพิ่มความภักดีของลูกค้า

3. กระตุ้นยอดขาย: โปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษระหว่างเซสชั่นการช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสดสามารถสร้างความเร่งด่วนและกระตุ้นยอดขายได้

4. ความแตกต่างของการแข่งขัน: การนำการพาณิชย์วิดีโอและการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีมมาใช้สามารถสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์จากคู่แข่งได้ด้วยการเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่ซ้ำใครและน่าดึงดูด

สิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า

1. ประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีขึ้น: วิดีโอและการถ่ายทอดสดช่วยให้ประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เต็มอิ่มและให้ข้อมูลมากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

2. การโต้ตอบแบบเรียลไทม์: ในระหว่างเซสชั่นการช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสด ลูกค้าสามารถถามคำถาม รับคำตอบทันที และโต้ตอบกับแบรนด์และผู้ซื้อรายอื่นได้

3. การค้นพบผลิตภัณฑ์: การถ่ายทอดสดสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์และแนวโน้มใหม่ๆ ให้กับลูกค้า สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ

4. ความสะดวกสบาย: การพาณิชย์ผ่านวิดีโอและการช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสดช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้จากทุกที่ ทุกเวลา โดยใช้โทรศัพท์มือถือ

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

1. การลงทุนด้านเทคโนโลยี: การนำฟีเจอร์การพาณิชย์วิดีโอและการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีมมาใช้จำเป็นต้องมีการลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมและระบบการจัดการวิดีโอ

2. การสร้างเนื้อหา: การผลิตวิดีโอคุณภาพสูงและการจัดเซสชันการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สตรีมต้องใช้ทรัพยากรและทักษะเฉพาะทาง

3. การบูรณาการอีคอมเมิร์ซ: การรับประกันประสบการณ์ที่ราบรื่นตั้งแต่การวิดีโอหรือการสตรีมสดไปจนถึงการชำระเงินอาจเป็นเรื่องท้าทาย

4. การมีส่วนร่วมของผู้ชม: การดึงดูดและรักษาผู้ชมสำหรับเซสชันการช็อปปิ้งแบบถ่ายทอดสดอาจต้องใช้กลยุทธ์การตลาดและการร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล

บทสรุป

การค้าผ่านวิดีโอและการช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมกำลังพลิกโฉมประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ สร้างความน่าสนใจ ปฏิสัมพันธ์ และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น การนำเทรนด์เหล่านี้มาใช้จะช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถเพิ่มยอดขาย เสริมสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ และสร้างความแตกต่างในตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขันสูงขึ้น ในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดื่มด่ำยิ่งขึ้น การค้าผ่านวิดีโอและการช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมจึงพร้อมที่จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของอีคอมเมิร์ซในอนาคต

[elfsight_cookie_consent id="1"]